มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนยังได้แม่นยำมาจนถึงทุกวันนี้ คือก่อนบวชนั้นผู้เขียนได้ตั้งใจไว้ว่า อยากฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับครูบาอาจารย์ที่ท่านมีคุณธรรม เพื่อให้ตัวเองปฏิบัติได้ถูกทาง ไม่เสียเวลา จึงอยากรู้ว่าองค์หลวงปู่ท่านบรรลุธรรมถึงขั้นไหน ซึ่งผู้เขียนได้เดาไว้ในใจว่าท่านบรรลุธรรมแล้วแน่ ๆ แต่สงสัยว่าถึงขึ้นไหน จึงลองเลียบเคียงถามพระเก่า ๆ ที่อยู่ในวัด ก็ไม่มีใครบอก ท่านให้เหตุผลว่าเรื่องอย่างนี้เค้าไม่พูดกัน เพราะอาจจะมีผลเสียตามมาได้ เมื่อท่านให้เหตุผลอย่างนั้นเราจึงนิ่งเสียไม่ถามใครต่อ แต่ก็ยังเก็บความสงสัยไว้ในใจอยู่ แล้วอยู่มาวันหนึ่งในพรรษา ปี ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นปีที่ผู้เขียนบวชนั้นเอง ก็ได้คำตอบ คือวันนั้นพระเณรได้ขึ้นไปอุปัฏฐากหลวงปู่ตามปกติ มีพระเณรขึ้นไปไม่กี่คน เพราะส่วนมากไปบิณฑบาต แต่ผู้เขียนไม่ได้ไป (ด้วยเหตุผลอะไรจำไม่ได้แล้ว อาจเป็นเพราะอดข้าวจึงไม่ไปบิณฑบาตก็เป็นได้) และระหว่างที่นวดยาถวายท่านนั้น ท่านก็ปรารภขึ้นมาว่า “ผมนี้ จะว่าเป็นพระอรหันต์ก็ว่าได้ เพราะกามราคะหมดราบคาบแล้วทั้งกายและใจ ตั้งแต่อายุ ๕๕ แต่มันติดอยู่นิดเดียว สมัยก่อนที่ประเทศอินเดียนั้น ถ้าใครอวดตนว่าเป็นพระอรหันต์ เค้าจะพากันพิสูจน์อรหันต์ โดยให้เสพสังวาสกับผู้หญิง ถ้าของฝ่ายชายแข็งตัวขึ้นล่ะก็จับสึกทันที แต่ของผมนั้นรับรองไม่มี เพราะมันหมดราบคาบไปแล้ว"
มิถุนายน 2554
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น